วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ROLEX ของแท้ ของปลอม วิธีการสังเกตุ

ROLEX ของแท้ ของปลอม วิธีการสังเกตุ
ROLEX นับว่าเป็นนาฬิกาที่มีราคาแพงมาก และเป็นนาฬิกาที่ดีที่สุดสำหรับนัำกสะสม หรือว่านักเล่นนาฬิกาต่างก็ยกนิ้วให้ว่า ROLEX นั้นเป็นที่ยอมรับในวงการนาฬิกาโดยแท้  วันนี้ขอนำวิธีในการสังเกตว่านาฬิกาเป็น Rolex แท้หรือปลอม     มีสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องจำไว้ให้มั่นคือ      “ Rolex เป็นนาฬิกา ที่สมบูรณ์แบบ”         
                                

Rolex ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ทำอะไร เกินมาตรฐาน ซึ่งท่านคงอ่านผ่านตาในกระทู้ต่าง ๆ ของEXPERT ที่ตอบไปพอสมควรแล้ว Rolex จะไม่ทำอะไรแค่พอผ่าน ๆ ออกมาจำหน่ายในตลาดอย่างเด็ดขาด ดังนั้น หากมีรายละเอียดหรือวัสดุที่ทำให้คุณรู้สึก สงสัย นั่นคือ คุณอาจเจอ
ของปลอมเข้าให้แล้ว !!


ROLEX ต่อไปนี้ เป็นข้อสังเกตบางประการที่เปรียบเทียบระหว่าง Rolex แท้กับของปลอม ซึ่งเราจะต้องเข้าใจไว้ก่อนว่า มูลค่าตลาดของปลอมนั้นมหาศาล  จึงจูงใจให้เทคโนโลยีในการปลอมสูงขึ้นและดีขึ้นเรื่อย ๆ ข้อผิดพลาดหลายจุดที่เขียนไว้นี้อาจใช้ไม่ได้กับนาฬิกาปลอมระดับ A บางรุ่น อย่างไรก็ตามหากคุณได้สัมผัสและคุ้นเคยกับ Rolex แท้บ่อย ๆ เข้าคุณจะสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างได้โดยไม่ยากนัก

  • น้ำหนัก  Rolex แท้ทุกเรือนจะผลิตด้วยเหล็กกล้าอย่างดี (904 L)  ถ้าเป็นสีทองก็จะเป็นทองแท้ 18 หรือ แพลตตินั่ม ซึ่งจะทำให้มีนำหนัก หนักเป็นพิเศษ ในขณะที่ของปลอมจะทำด้วยเหล็กที่มีคุณภาพต่ำกว่า ทำให้มีน้ำหนักเบากว่าด้วย
  • สีสัน  ของแท้โดยเฉพาะสีทอง 18 K จะมีความเงางามและงดงาม ซึ่งจะต่างจากของปลอมที่จะใช้
    ทอง 
    14 K หรือชุบทองจึงให้ทำมีสีเหลืองจัดจ้านเกินไปหรือออกสีโทนส้ม และ/หรือ เงาเกินไป
  • การเคลื่อนไหวของเข็มวินาที (กรณีไม่ใช่ระบบคว็อตซ์)  ของแท้จะมีการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นกว่า
    ด้วยความถี่ประมาณ 5-8 ครั้งต่อวินาทีจึงดูราบเรียบไม่กระตุกเหมือนกับของปลอมที่จะทำความถี่
    ได้เพียง 3-4 ครั้งต่อวินาทีเท่านั้น
  • ฝาหลัง จำไว้ว่า Rolex ไม่เคยผลิตนาฬิกาหลังเปลือย (ฝาหลังเป็นกระจก)    นี่คือข้อผิดพลาดที่เห็นง่ายที่สุดของนาฬิกา Rolex ปลอม
  •  Marking ที่ฝาหลัง  Rolex ส่วนใหญ่จะไม่มี Logo และเลขรุ่นหรือข้อมูลใด ๆ สลักอยู่บนฝาหลัง ยกเว้นบางรุ่นดังนี้
Rolex ของผู้หญิงบางรุ่นที่ผลิตก่อนทศวรรษที่ 90 ซึ่งจะมีคำว่า Original Rolex Design หรือคล้าย ๆ กัน แกะสลักเป็นแนวโค้งตามขอบตัวเรือน รวมถึง Rolex รุ่นเก่า ๆ บางรุ่นที่อาจมี Logo รูปมงกุฎ อยู่ด้านบน และ/หรือ Serial no. อยู่ด้านล่างของฝาหลัง
 รุ่น Sea-Dweller ที่มีคำว่า  ROLEX OYSTER ORIGINAL GAS ESCAPE VALVE”
รุ่น Submariner และ Sea-Dweller Comex ซึ่งแกะสลักคำว่า  Rolex และ COMEX พร้อมด้วยตัวหนังสือ 2 , 3 หรือ 4 หลัก (รุ่นนี้เป็นรุ่นที่นักสะสมต้องการและมีการปลอมกันมากในต่างประเทศ)
นาฬิกาปลอมส่วนใหญ่มักจะนิยมแกะสลัก Logo รูปมงกุฎ เลขรุ่น รวมทั้ง serial no. ไว้บนฝาหลังเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้ว Rolex จะไม่ทำลวดลายใด ๆ และจะมีฝาหลังเกลี้ยง ๆ เป็นส่วนใหญ่

  •    สติ๊กเกอร์ที่ฝาหลัง  ของแท้จะเป็นลาย hologram    ซึ่งจะดูสวยงามและเป็นลักษณะ 3 มิติ  มีรุปมงกุฎอยู่ตรงกลางเหนือ เลขรุ่น  อย่างไรก็ตามเมื่อใส่ไปนาน ๆ ตัวลาย hologram จะจางหายไปและอาจเหลือเพียงร่องรอยของตัวมงกุฎและเลขรุ่นเท่านั้น  sticker ของปลอม     จะเลียนแบบไม่ได้เหมือนของจริง กล่าวคือลายจะดูเรียบ ๆ ไม่เป็นสามมิติ รวมทั้งเลขรุ่นมักจะไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง                                                 
  • กระจก Rolex จะใช้กระจก แซฟไฟร์ (รุ่นเก่าก่อนปี 1991 อาจจะมีเป็นเซลลูลอยด์) ในขณะที่ของปลอมถ้าใช้กระจกธรรมดาจะสังเกตุได้ง่ายคือ บริเวณขอบกระจกที่ยื่นขึ้นมาจากของหน้าปัด(Beveled edge) เราจะมองเห็นเป็นสีกระจกออกเขียว หรือขาวขุ่น  ขณะที่ของแท้เราจะเห็นเป็นสีเรียบใส  นอกจากนี้เรามีวิธีทดสอบง่าย ๆ ว่ากระจกเป็นแซฟไฟร์ หรือไม่ ทำได้โดยการหยดน้ำลงบนกระจก ถ้าน้ำรวมตัวกันเป็นก้อนแสดงว่าเป็นแซฟไฟร์  แต่ถ้าน้ำไม่รวมตัวกันแสดงว่าเป็นกระจกธรรมดา
  • ตัวเลนส์ขยายดูวันที่   ของแท้จะมีกำลังขยายถึง 2.5 เท่า  ทำให้เราสามารถอ่านวันที่ได้ง่ายชัดเจนเต็มหน้าจอ  ซึ่งคุณจะสังเกตุเห็นความแตกต่างของขนาดตัวเลขวันที่ จากการมองผ่านเลนส์กับมองโดยไม่ผ่านเลนส์               
    ของปลอมส่วนใหญ่จะสามารถขยายได้เพียง 1.5 เท่า  ทำให้ตัวเลขดูเล็กกว่า อีกทั้งการจัดวางตำแหน่งทั้งตัวเลนส์และตัวเลข ยังทำได้ไม่ค่อยดีด้วย

  • พรายน้ำ นับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา Rolex ได้เปลี่ยนการใช้พรายน้ำจาก Tritium มาเป็น Super Luminova ซึ่งมีความสว่างกว่าเดิมถึง 10 เท่า  Super Luminova จะมีคุณสมบัติที่ดีคือไม่มีอายุการใช้งาน (ซึ่งแต่เดิม tritium จะมีอายุใช้งานประมาณ 12 ปี) และจะทำงานโดยการชาร์ตกับแสงไฟ ไม่ว่าจะเป็นแสงจากหลอดไฟ หรือแสงอาทิตย์ ดังนั้น หากเป็นนาฬิกาที่ผลิตตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา หากคุณพบว่าพรายน้ำไม่สว่าง ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นของปลอมหรือไม่ก็เป็นของแท้ที่มีปัญหา
  • ยางมะยม Triple lock ที่ใช้กับรุ่น Submariner, Sea Dweller และ Daytona เมื่อเราคลายเกลียวดึงมะยมออกมา จะเห็นยางเส้นเล็ก ๆ อยู่ ซึ่งตรงนี้ ของปลอมส่วนใหญ่จะละเลยไป 
  •  การหมุนมะยม  เมื่อคลายเกลียวออกมาในตำแหน่งที่ 1 เพื่อการไขลาน หากมีความรู้สึกไม่แน่นหรือไม่ราบเรียบ หรือมีเสียงผิดปกติ ก็จะเป็นข้อสังเกตอีกอย่างว่านาฬิกาไม่ได้คุณภาพ
  • Hacking Feature คือเมื่อเราดึงมะยมออกมาในตำแหน่งที่ 2 สำหรับการตั้งเวลา เข็มวินาทีจะต้องหยุดเดิน ซึ่งระบบนี้เรียกว่าHacking Feature ซึ่ง Rolex คิดค้นขึ้นมาใช้เมื่อตอนต้น ทศวรรษที่ 70 ดังนั้น หากเป็นนาฬิกาที่ผู้ขายอ้างว่าเป็นนาฬิกาVintage ผลิตก่อนปี 1970 เมื่อดึงมะยมออกมาตั้งเวลา หากเข็มนาทีหยุด แสดงว่าเป็นของปลอม ในทางกลับกัน หากเป็นนาฬิกาหลังยุค 70 หากดึงมะยมออกมาตำแหน่งตั้งเวลาแล้วเข็มวินาทียังเดินอยู่แสดงว่าเป็นของปลอมเช่นเดียวกัน
  • วันที่ ตัวเลขแสดงวันที่ ทุกตัวตั้งแต่ 1 ถึง 31 จะต้องคมชัดและวางตำแหน่งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของหน้าต่างเลนส์ขยาย ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนง่าย แต่แท้ที่จริงแล้ว ทำได้ยากซึ่งของปลอมมักจะไม่สามารถทำได้  คุณควรหมุนดูวันที่ให้ครบถ้วนมากที่สุด หากมีตัวเลขตัวหนึ่งหรือหลายตัวอยู่ชิดข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป นั่นแสดงว่าน่าจะเป็นของปลอม อีกประการหนึ่ง พื้นสีของปลอมมักจะออกสีขาวอมเหลือง (Off-White)
  • Quick set & Double quick set Feature ในยุคก่อนที่จะปรับตั้งวันหรือวันที่ด้วยมะยมได้ นาฬิกาจะเปลี่ยนวันที่โดยการหมุนของเข็มเวลาผ่านเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น  ระบบ Quick set เกิดขึ้นเพื่อความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถตั้งวัน และวันที่ ผ่านทางมะยม ซึ่งระบบ Quick set (ตั้งวันที่) ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970  ส่วน Double  quick set (ตั้งวัน และวันที่) เริ่มนำมาใช้เมื่อตั้งแต่ปลายปี 1990  สิ่งที่เราควรตรวจสอบก็คือ ทดลองหมุน ตั้งวันและวันที่ หากการเปลี่ยนมีการกระตุก หรือติดขัด หรือหมุนแล้วรู้สึกหลวม ๆ ไม่ค่อยเคลื่อนตัว แสดงว่าเป็นของปลอม หรือ เป็นของแท้ที่มีปัญหาสภาพไม่ดี
  • ฟังก์ชั่นพิเศษต่าง ๆ  นาฬิกาที่ทำเลียนแบบส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องฟังก์ชั่นพิเศษต่างๆ ให้เหมือนกับของจริง ตัวอย่างเช่น รุ่น Daytona จะมี 3 หน้าปัดย่อย กล่าวคือที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาจะคำนวณจับเวลาเป็นนาที ตรงตำแหน่ง 9 นาฬิกาบอกชั่วโมง แต่ที่บริเวณเลข 6 นาฬิกาจะไปหน้าปัดย่อยพร้อมด้วยเข็มวินาทีที่เดินตามปรกติซึ่งจะต้องหมุนเดินทันทีเมื่อมีการขึ้นลานแล้ว ส่วนเข็มวินาทีที่ใช้จับเวลาจะเป็นเข็มใหญ่ที่อยู่ด้านบนสุดเหนือเข็มนาที ซึ่งเราจะต้องเช็คฟังก์ชั่นต่าง ๆ เหล่านี้ เช่นเมื่อกดปุ่มจับเวลา เข็มนาทีใหญ่ด้านบนสุดจะต้องเริ่มทำงานและเข็มที่หน้าปัดย่อยก็จะต้องเดินตามฟังก์ชั่นด้วย
  • Marking บนหน้าปัด  ของปลอมจะมีคุณภาพการพิมพ์ด้อยกว่า ซึ่งสามารถเห็นได้โดยแว่นขยาย  ถ้าส่องดูจะพบรอยขีดข่วนบนหน้าปัด ฝุ่นละออง จุดหรือ คราบเล็กๆบนตัวหนังสือ ขนาดตัวหนังสือ รวมทั้ง Font ที่ใช้ จะแตกต่างจากของจริง
  • ขอบหน้าปัด (Bezel) รุ่นที่เป็นนาฬิกา Sport เช่น Submariner, Sea-Dweller และ GMT ตัวขอบหน้าปัดที่มีสเกลจะหมุนได้แน่นแต่ราบรื่น (มี 120 คลิก หรือ 2 คลิก ต่อ 1 วินาทีของปลอมจะมีลักษณะหลวมหรือ แน่นเกินไปเสียงที่หมุนจะดังกว่า และมีเพียง 60 คลิกเท่านั้น
  •  One way Gas escape Valve รุ่น Sea-Dweller จะมีช่องวงกลมเล็กๆอยู่ตรงข้ามเม็ดมะยมซึ่งทำหน้าที่ปล่อยอากาศเพื่อลดแรงดันในเวลาที่อยู่ภายใต้สภาพแรงกดดันเมื่อดำน้ำลึก ซึ่งของปลอมส่วนใหญ่จะไม่มี Valve นี้อยู่ให้เห็น
  • Micro-Etching    Rolex ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา จะมี Logo รูปมงกุฎที่เล็กมากอยุ่บนตำแหน่ง 6 นาฬิกา และเช่นเคยของแท้จะมีลักษณะสวยงามคมชัด และสัดส่วนที่ถูกต้อง
  • หมายเลขรุ่น (Case Reference Number)  ที่บริเวณด้านข้างตัวเรือนที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา จะมีตัวเลขแกะสลัก ซึ่งเมื่อถอดสายออกจากตัวเรือนก็จะสามารถมองเห็นได้ ซึ่งจะทำให้สามารถเทียบเคียงสิ่งที่บอกไว้ตามตัวเลขกับนาฬิกาจริงตรงกันหรือไม่ กล่าวคือ Rolex ในยุคก่อน 80 จะมีตัวเลข 4 หลัก แกะสลักไว้ จนกระทั่งประมาณปี 1985 จึงเริ่มมีตัวเลข 5 หลักอย่างเป็นระบบเพื่อบอกลักษณะนาฬิกาบางประการดังนี้ ตัวเลข 3 หลักแรก  จะบอกถึง รุ่น หรือ collection นาฬิกาเรือนนั้นตัวเลข หลักที่ 4  จะบอกถึง ประเภทของขอบหน้าปัด (Bezel)ตัวเลข หลักที่ 5  จะบอกถึง วัสดุที่ใช้               ตัวอย่างเช่น รุ่น  16233
  • 162 หมายถึง  รุ่น Datejust
    หมายถึง Fluted Bezel
     3 ตัวท้าย หมายถึง สแตนเลสกับทอง
    จนถึงปี 2000 ได้เปลี่ยนเป็น 6 หลักอีก โดยเพิ่มเลข 1 เข้าไปด้านหน้า เช่น Daytona รุ่น 16523 ก็เป็น 116523
             

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น